พระพิฆเนศวร (ภาษาสันสกฤต : คเณศ)
หรือ พระพิฆเนศ หรือ พระพิฆเณศ หรือ พระวิฆเณศวร
หรือ พระพิฆเณศ หรือ พระคเณศ หรือ คณปติ
ป็นเทพในศาสนาพราหมณ์นับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ปราดเปรื่องในศิลปวิทยาทุกแขนง เป็นหัวหน้านำคณะข้ามความขัดข้อง (ผู้เป็นใหญ่เหนือความขัดข้อง)
1 พระพิฆเนศวรเป็นโอรสของพระอิศวรและพระอุมาเทวี
มีรูปกายเป็นมนุษย์ มีเศียรเป็นช้าง
ทุกคนเคารพนับถือท่านในฐานะที่ท่านเป็น "วิฆเนศ"
นั่นคือ เจ้า (อิศ) แห่งอุปสรรค (วิฆณ) เพราะเจ้าแห่งอุปสรรค
ที่สามารถปลดปล่อยอุปสรรคได้
2 อีกความหมายถึง ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จในทุกศาสตร์สรรพสิ่งหรือเทพเจ้าแห่งการเริ่ม ต้นใหม่ทั้งปวง
ลักษณะของพระพิฆเนศวร
มีรูปกายเป็นมนุษย์อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว (ถูกขวาน ปรศุรามหักเสียงา) สีกายสีแดง (บางแห่งว่าผิวเหลือง นุ่งห่มแดง) มีสี่กร พระหัตถ์หน้าขวาถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายถือขันน้ำมนต์ เป็นกระโหลกศีรษะมนุษย์ พระหัตถ์หลังขวาถือ ตรี พระหัตถ์ซ้ายถือบาศ (บ่วง) พาหนะคือ หนู
ความหมายในทางสัญญะ
1 รูปกายที่อ้วนพีนั้นมีความหมายว่า ความอุดมสมบูรณ์
2 เศียรที่เป็นช้างมีความหมาย หมายถึงผู้มีปัญญามาก
3 ตาที่เล็กคือ สามารถมอง แยกแยะสิ่งถูกผิด
4 หูและจมูกที่ใหญ่หมายถึง มีสัมผัสพิจารณา ที่ดีเลิศ
5 พระพิฆเนศวรมีพาหนะคือ หนู ซึ่งอาจเปรียบได้กับความคิด ที่พุ่งพล่าน รวดเร็ว
ดังนั้น มนุษย์จึงต้องมีปัญญากำกับเป็นดั่งเจ้านายในใจตน
พระพิฆเนศวรกับประเทศไทย
ในประเทศไทยจะ เห็นได้ว่ามีการบูชาเทพองค์ต่างๆในศาสนาพราหมณ์อยู่มากมาย รวมทั้งองค์พระพิฆเณศ ซึ่งอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน จากหลักฐานก็คือเราได้พบรูปสลักพระพิฆเณศในเทวสถานตามเมืองต่างๆ ทั่วทั้งประเทศไทย
โดยมีหลักฐานการค้นพบองค์เทวรูปบูชาพระพิฆเณศที่เก่าแก่ในสมัยที่ขอมเรือง อำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นต้นว่าองค์เทวรูปบูชานั้นสลักจากหิน ค้นพบทางแถบจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ
คนไทยถือว่าองค์พระพิฆเนศวรเป็นที่เคารพสักการะในฐานะองค์บรมครูแห่ง ศิลปวิทยาการ 18 ประการ โดยคนไทยยอมรับในองค์พระพิฆเนศวรให้เป็นเทพแห่งศิลปะทั้งมวล และเป็นเทพองค์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งทางศาสนาพราหมณ์ได้ สถาปนาพระพิฆเนศวร เป็นเทพพระองค์แรกที่ต้องบูชาก่อนเริ่มพิธีใดๆ
เป็นการคารวะในฐานะบรมครูผู้ประสาทปัญญาและความสำเร็จ สามารถขจัดอุปสรรคทั้งปวงให้หมดสิ้นไป กิจการทุกอย่างจึงสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี หน่วยงานราชการกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากรจึงได้ถือเอาพระพิฆเนศวรเป็นสัญลักษณ์
กำเนิดพระพิฆเนศ
เมื่อพระศิวะเทพทรงไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานานนั้น
พระแม่ปารวตีจึงต้องอยู่องค์เดียวโดยลำพังจึงทรงเกิดความเหงา
และประสงค์ที่จะมีผู้มาคอยดูแลพระองค์และป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามาก่อความ วุ่นวายในพระตำหนักใน
จึงทรงเสกเด็กขึ้นมาเพื่อเป็นพระโอรสที่จะเป็นเพื่อนในยามที่องค์ศิวเทพเสด็จออกไปตามพระกิจต่างๆ มีอยู่คราวหนึ่งเมื่อพระนางทรงเข้าไปสรงในพระตำหนักด้านในนั้นองค์ศิวเทพได้กลับมาและเมื่อจะเข้าไปด้านในก็ถูกเด็กหนุ่มห้ามไม่ให้เข้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นใครและในลักษณะเดียวกันศิวเทพก็ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มนั้นเป็นพระโอรสที่พระแม่ปารวตีได้เสกขึ้นมา
เมื่อพระองค์ถูกขัดใจก็ทรงพิโรธและตวาดให้เด็กหนุ่มนั้นหลีกทางให้ พลางถามว่ารู้ไหมว่ากำลังห้ามใครอยู่ ฝ่ายเด็กนั้นก็ตอบกลับว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเป็นใครเพราะตนกำลังทำตามบัญชาของพระแม่ปารวตี และทั้งสองก็ได้ทำการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเทพทั่วทั้งสวรรค์เกิดความวิตกในความหายนะที่จะตามมา และในที่สุดเด็กหนุ่มนั้นก็ถูกตรีศูลของมหาเทพจนสิ้นใจและศีรษะก็ถูกตัดหายไป
ในขณะนั้นเองพระแม่ปารวตีเมื่อได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล ก็เสด็จออกมาด้านนอกและถึงกับสิ้นสติเมื่อเห็นร่างพระโอรสที่ปราศจากศีรษะ จากนั้นเมื่อทรงได้สติก็ทรงมีความโศกาอาดูรและตัดพ้อพระสวามี ที่มีใจโหดเหี้ยมทำร้ายเด็กได้ลงคอ โดยเฉพาะเด็กนั้นเป็นพระโอรสของพระนางเอง
เมื่อได้ยินพระนางตัดพ้อต่อว่าเช่นนั้นองค์มหาเทพก็ทรงตรัสว่า จะทำให้ เด็กนั้นกลับพื้นขึ้นมาใหม่แต่ก็เกิดปัญหา เนื่องจากหาศีรษะที่หายไปไม่ได้ และยิ่งใกล้เวลาเช้าแล้วต่างก็ยิ่งกระวนกระวายใจเนื่องจากหากดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วก็จะไม่สามารถชุบชีวิตให้เด็กหนุ่มฟื้นขึ้นมาได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นพระศิวะจึงบัญชาให้เทพที่มาช่วยเอาศีรษะสิ่งที่มีชีวิตแรกที่พบมา และปรากฎว่าเหล่าเทพได้นำเอาศีรษะช้างมาให้ ซึ่งพระศิวะทรงนำศีรษะมาต่อแทนให้ และได้ชุบชีวิตให้ใหม่พร้อมยกย่องให้เป็นเทพที่สูงที่สุด โดยขนานนามว่า พระพิฆเนศ ซึ่งแปลว่า เทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรค และยังทรงให้พรว่าในการประกอบพิธีการต่างๆทั้งหมดนั้นจะต้องทำพิธีบูชาพระพิฆเนศก่อนเพื่อความสำเร็จของพิธีนั้นๆ
ตำนานที่ 1. พิฆเนศวรปราบอสูรและรากษส
อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้คำพรจากพระศิวะหลายประการ ยังให้เหล่าอสูรกลุ่มนี้ฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรงนำเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าอ้อนวอนต่อพระศิวะ ขอให้พระองค์สร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามของอสูรและรากษส พระองค์จึงทรงแบ่งส่วนกายหนึ่งให้เกิดบุรุษร่างงามจากครรภ์ของพระนางปราวตีและตั้งพระนามว่าวิฆเนศวร เพื่อทำหน้าที่ขวางทางอสูร รากษส และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลีเพื่อขอพรจากพระศิวะ ทั้งยังเป็นผู้เปิดทางอำนวยความสะดวกต่อเทวดาและคนดีเพื่อเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ
ตำนานที่ 2. ปราวตีนำเหงื่อไคลปั้นเป็นลูก
ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยา พระสหายของนางปราวตีได้แนะนำว่าปกติพระนางมักจะต้องใช้บริวารของพระศิวะอยู่เป็นประจำ ถ้าหากพระนางจะมีบริวารเป็นของตนเองก็คงจะดีไม่น้อย พระนางเห็นด้วย จนวันหนึ่งขณะที่ทรงสรงน้ำอยู่ตามลำพังก็ทรงนึกถึงคำพูดของพระสหายจึงได้นำเอาเหงื่อไคลออกมาสร้างบุรุษรูปงาม สั่งให้ไปยืนเฝ้าทวาร มิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นอย่างนี้มาหลายเพลา จนวันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมา ฝ่ายลูกก็ป้องกันแข็งขัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือพ่อพระศิวะโกรธก็เลยสั่งให้ภูติและคณะของตนเข้า...หารทวารบาลพระองค์นั้น บ้างก็ว่าพระศิวะพุ่งตรีศูลตัดเศียรลูก บ้างก็ว่าพระวิษณุเทพที่มาช่วยรบนั้นใช้จักรตัดเศียร ความทราบถึงพระนางปราวตีจึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพีขึ้นบนสวรรค์ฝ่ายฤาษีนารอดอดรนทนไม่ได้ จึงได้เป็นทูตสันติภาพขอเจรจากับนางปราวตีเพื่อสงบศึก นางบอกว่าจะสงบศึกก็ต่อเมื่อลูกของนางฟื้นเท่านั้น
พระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทิศเหนือ ให้เอาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อกับโอรสของนางปราวตี ปรากฏว่าเทวดาได้เศียรของช้างซึ่งมีงาเพียงข้างเดียวมา เมื่อพระคเณศฟื้นขึ้นมา ทราบความจริงว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอใจมากประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลายและทรงแต่งตั้งให้เป็นคณปติ
ตำนานที่ 3. ขวางทางคนชั่วไปเทวาลัยโสมนาถและโสมีศวร
พระนางปราวตีทรงเอาน้ำมันที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมกับเหงื่อไคลปั้นเป็นรูปคนแต่มีเศียรเป็นช้างจากนั้นได้เอาน้ำจากพระคงคาปะพรมให้มีชีวิตขึ้น เพื่อทำการขัดขวางแก่คนชั่วที่จะไปบูชาศิวะลึงค์ที่เทวาลัยโสมนาถและเทวาลัยโสมีศวรเพราะคนเหล่านี้หวังจะไปล้างบาปเพื่อมิให้ตกนรกทั้งเจ็ดขุม ด้วยเหตุนี้ การที่วันคเณศจาตุรถี นิยมเอารูปปั้นพระคเณศมาจุ่มน้ำหรือนำเทวรูปปูนชิ้นเล็ก ๆมาทิ้งตามแม่น้ำคงคา ชะรอยจะมาจากความเชื่อที่ว่าน้ำจากแม่พระคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่ 4. พระคเณศ กฤษณะอวตาร
พระนางปราวตีมเหสีของพระศิวะไม่มีโอรส พระศิวะจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (พิธีบูชาพระวิษณุเทพ ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือนมาฆะ) มีระยะเวลากำหนด 1 ปีเต็มและเมื่อครบกำหนด พระนางจะได้โอรสซึ่งเป็นพระกฤษณะอวตารไปจุติ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำตรัสของพระศิวะ ทวยเทพทั้งหลายมาร่วมอวยพรในกลุ่มเทพเหล่านี้มีพระศนิ (พระเสาร์) รวมอยู่ด้วย เมื่อพระศนิเหลือบมองพระกุมารทันใดนั้นเศียรกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นไปยังโคโลกซึ่งเป็นวิมานของพระกฤษณะพระวิษณุจึงเสด็จไปยังแม่น้ำบุษปุภัทรเห็นช้างนอนหัวไปทางทิศเหนือจึงตัดเศียรช้างกลับมาต่อให้กับเศียรกุมารที่หายไป ตำนานนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สร้างโดยกลุ่มที่นับถือพระกฤษณะเป็นใหญ่
ตำนานที่ 5. ศิวะ-อุมาแปลงกายเป็นช้างเข้าสมสู่
ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูกเป็นพระคเณศ
พระคเณศ นั้นเป็นโอรสของพระศิวะ กับ พระอุมา และ เป็นพี่น้องกับสกันทกุมาร (ขันธกุมาร) ซึ่งประวัตินั้นค่อนข้างแปลกๆ พอๆ กันของเทวบุตรทั้ง 2 องค์นี้ โดยพระคเณศจะมีคุณลักษณะแห่งความเป็นนักปราชญ์ ส่วนสกันทกุมารจะมีคุณลักษณะแห่งความห้าวหาญ ตรงไปตรงมาแบบทหาร
ประวัติการกำเนิดของพระคเณศนั้นก็มีความแตกต่างกันตามปุราณะ ซึ่งกล่าวแตกต่างตามแต่ละคัมภีร์ อาทิเช่น พระคเณศนั้นถือกำเนิดมาจากความปรารถนาของพระอุมา เมื่อครั้นพระศิวะเจ้าเสด็จไปทำสมาธิจิตที่เขาไกรลาสเป็นเวลานาน เนื่องด้วยพระลักษมี (บ้างว่าเป็นเทพนารีองค์อื่น) ได้เสด็จมาเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนพระอุมา และ ได้กล่าวกับพระอุมาว่าเมื่อคราวมหาเทพศิวะไม่อยู่กับพระองค์นั้น พระองค์ก็เปรียบดั่งสตรีที่ไม่มีบุรุษปกปักรักษาป้องกันในเวลาปฎิบัติกิจส่วนพระองค์
ฉะนั้นพระอุมาจึงควรสร้างเทวบุตรขึ้นมาเพื่อปกป้อง และ คอยเฝ้าคุ้มกันเมื่อพระอุมาปฏิบัติกิจ เมื่อพระอุมาเห็นด้วยกับความคิดของพระลักษมี จึงได้ใช้ฤทธิ์แห่งศักติ ลูบพระวรกายแบ่งภาคออกเป็นทารกที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา และ เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อครั้นเวลาผ่านไป พระศิวะออกจากสมาบัติก็เสด็จกลับมาหาพระอุมา เมื่อถึงหน้าทวารทางเข้าก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งมายืนขวางทาง ไม่ให้พระศิวะเข้าไปข้างในเนื่องจากไม่มีคำสั่งจากพระมารดา จึงทำให้พระศิวะทรงพิโรธมาก ตรัสสั่งให้นันทิ และ เหล่าเหล่าบริวารเข้าต่อกรกับพระคเณศ
แต่ทั้งนันทิและเหล่าบริวารทั้งหลายก็พ่ายแพ้พระคเณศอย่างง่ายดาย พระนารายณ์ พระพรหมา และ เหล่าเทวดาต่างก็เสด็จมาช่วยพระศิวะต่อกรกับพระคเณศ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป จนพระนารายณ์ทูลให้พระศิวะทรงใช้ตรีศูลเพื่อ...หารพระคเณศเสีย พระศิวะจึงได้ฟังพระวิษณุตรัสดังนั้นก็ทรงปฏิบัติตาม โดยพุ่งตรีศูลไปตัดเศียรพระคเณศขาดกระเด็นมอดไหม้ไป เสียงแห่งการ...หารพระคเณศนั้นดังกึกก้องไปทั้งสรวงสรรค์ ทำให้พระอุมาตกใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเสด็จออกมาดู เมื่อมาเห็นเทวบุตรคเณศอยู่ในสภาพไร้เศียร ก็พิโรธด้วยอำนาจแห่งศักติจนสั่นสะเทือนไปสามโลก ว่าทำไมเหล่าเทวาจึงต้องมารุมทำร้ายเด็กน้อย ไร้เดียงสา และ ...หารกุมารคเณศของพระองค์ด้วย ด้วยความโกรธแห่งพระศักติผู้เป็นบารมีอำนาจของจักรวาล
พระอุมาได้แบ่งภาคออกเป็นพันๆ ภาคเพื่อจะ...หารเหล่าเทวดาทั้งหลาย และ ทำลายจักรวาลให้สูญสิ้นไป โดยแบ่งภาคเป็นภาคต่างๆ เช่น สตี , ปรรพตี , กาลี , ทุรคา , โครี , จัณฑี , ชคันมาตา , จัฑิกา , ไภรพี , สยามา ฯลฯ ทำให้สั่นสะเทือนปานจักรวาลจะล่มสลาย พื้นโลก สวรรค์ บาดาล นรก เริ่มแตกร้าว เหล่าเทวดาพากันหวาดกลัวไปตามๆ กันเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งมารดาจักรวาลนั้นมหาศาลนัก เมื่อพระองค์ทรงเป็นโยนีผู้ให้กำเนิดจักรวาลอันความพิโรธโกรธกริ้วของพระอุมาย่อมทำลายจักรวาลลงได้ภายในพริบตา เมื่อพระนารายณ์เห็นเช่นนั้นจึงทรง เข้าไปขอขมาพระอุมา โดยทูลว่าการกระทำในครั้งนี้เหล่ามหาเทพ และ เทวดาทั้งหลายนั้นไม่ทราบมาก่อนจริงๆ ว่าพระคเณศคือเทวบุตรอันถือกำเนิดจากทิพย์ศิวา ศักติของพระอุมา ที่ทำไปเช่นนั้นก็เพื่อช่วยในการรักษาเกียรติแห่งพระศิวะเจ้า
พระอุมาก็ยังหาความคลายพิโรธลงเท่าใดไม่ แต่ก็ตรัสกับมหาเทพทั้ง 3 และเหล่าเทวดาว่าให้คืนชีวิตและเศียรให้แก่เทวบุตรของพระองค์ในทันที พระเป็นเจ้าทั้งสามก็รับปากจะคืนให้ แต่ติดที่ว่าฤทธิ์แห่งตรีศูลพระศิวะทำให้เศียรของพระคเณศนั้นมลายหายไป แล้วนี่พระอุมายังยื่นคำขาดอีกว่าถ้าเทวบุตรไม่กลับคืนชีพ พร้อมมีเศียร พระอุมาก็เหมือนคนหมดทุกสิ้นทุกอย่างแล้วในจักรวาล เพราะความหวังและสิ่งที่รักยิ่งของมารดาทั้งหลายคือบุตร ฉะนั้นก่อนพระอาทิตย์อัสดงคตให้หาเศียรมาต่อให้พระคเณศให้จงได้ มิฉะนั้นพระอุมาจะทำลายจักรวาลทั้งปวงให้สิ้นไป
เหล่าเทวดาต่างจนปัญญาที่จะหาเศียรมาต่อให้พระคเณศ ด้วยจะ..่าสิ่งมีชีวิตเพื่อเอาเศียรมาต่อให้พระคเณศก็ไม่เป็นการสมควรที่เหล่าเทวดาจะกระทำกัน พระนารายณ์จึงตรัสข้อเสนอว่าอันพระเวทเปรียบกล่าวไว้ ว่าสิ่งมีชีวิตใดเมื่อเวลานอนแล้วหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกก็เปรียบดั่งเสียชีวิตแล้ว ฉะนั้นให้เหล่าเทวดา แยกย้ายกันไปหาสัตว์ที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เมื่อเหล่าเทวาได้รับบัญชาแล้วก็รีบแยกย้ายกันออกค้นหาเหล่าเทวดาต่างก็รีบหากันตั้งแต่เช้าจน พระอาทิตย์จะตกดินแล้วก็ไม่พบอย่างที่พระนารายณ์ตรัสไว้ จนเกือบถึงเส้นยาแดงผ่าแปด ก็มาพบช้าเผือกเชือกหนึ่งนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกพอดี จึงตรงเข้าไปตัดหัวของช้างเผือกนั้นเพื่อนำมาต่อให้พระคเณศ
เมื่อพระศิวะทรงต่อเศียรให้พระคเณศ และ ชุบชีวิตให้แล้ว พระคเณศก็กลับมามีชีวิตดังเดิมทำให้พระอุมาหายพิโรธ โดยพระศิวะกล่าวว่าอันเศียรช้างที่หามาได้นี้หาใช่ช้างธรรมดาอันที่จริงคือ ปางหนึ่งของช้างเอราวัณที่ถูกสาปให้ไปเกิดเป็นช้างเผือกในโลกมนุษย์ เมื่อใดถูกตัดเศียรแล้วก็จะพ้นคำสาปและกลับคืนสู่อินทราโลก ฉะนั้นเศียรที่ได้มานี้จึงประเสริฐเปี่ยมไปด้วยกำลัง และ สติปัญญา และเมื่อเป็นการไถ่ความผิด เหล่าเทวดาก็ต่างให้พรพระคเณศต่างๆ นานา โดยพระศิวะให้พรว่าขอให้พระคเณศจงอยู่เหนืออุปสรรคทั้งปวง เป็นเทพเจ้าแห่งความสมดุล และ ความสำเร็จสมปรารถนาทั้งปวง พระนารายณ์ให้พรว่าขอให้เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา และ การรจนาคัมภีร์ความรู้ทั้งปวง
พระพรหมาก็ให้เช่นกันโดยให้ว่าอันผู้ใดจะประกอบการมงคลใดๆ ก็ตามแต่จะต้องท่องมนตร์ โอม อันเป็นเครื่องหมายอมตะแห่งพระคเณศ และ กล่าวบูชาอัญเชิญพระคเณศมาเป็นเทพองค์แรกในการประกอบมงคลทั้งหลายทั้งปวง โดยพระคเณศจะเป็นใหญ่เหนือคณะเทพเจ้าทั้งปวง นี่ก็คือประวัติพระคเณศ และยังมีข้อแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างในหลายคัมภีร์ บ้างก็ว่าพระนารายณ์เป็นผู้ตัด ด้วยวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้นพระศิวะมีเทวโองการเชิญพระนารายณ์มาโสกันต์ (โกนผมไฟ) พระคเณศ แต่เนื่องจากพระนารายณ์เพิ่งเหนื่อยกลับมาจากการปราบอสูร จึงทำให้เพลียแล้วทรงบรรทมเหนือไวกูณฑ์พอมีเทวโองการประโคมสังข์มาด้วยความงัวเงีย ก็บ่นพึมพรำออกมาว่า " ลูกหัวหายเราจะหลับให้สบายเสียสักหน่อยก็ไม่ได้ " ด้วยวาจาสิทธิ์เศียรพระคเณศก็หายไปในพริบตา บ้างก็ว่าเศียรขาดเนื่องจากพระศนิ ( พระเสาร์ ) เพราะพระเสาร์เคยถูกภรรยาสาปให้ห้ามมองใบหน้าใครได้เพราะพระศนินั้นช่วงหนึ่งเคยแต่เฝ้าภาวนา ถึงแต่พระนารายณ์ไม่เอาใจใส่ในนาง จึงสาปพระศนิว่าถ้ามองผู้ใดผู้ที่ถูกมองจะเกิดอัปมงคล หรือ หัวขาดหายไป
ครั้นพระศนิมาร่วมในงานโกนผมไฟ พระศนิได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ายลโฉมพระคเณศ ทำให้พระศิวะทรงกริ้ว หาว่าพระศนิทรงดูหมิ่นโอรส พระศนิไม่ทราบว่าจะขัดพระบัญชา ได้อย่างไรจึงจำต้องมองไปที่หน้าพระคเณศ ด้วยฤทธิ์แห่งคำสาปเศียรพระคเณศก็ขาดหายไปในพริบตา ส่วนเรื่องการต่อเศียรพระคเณศนั้นก็คล้ายๆ กัน แต่มีแทรกเกี่ยวกับตอนของพระศนิว่า เมื่อมองเศียรพระคเณศแล้วเศียรขาด ด้วยความพิโรธพระศนิ พระอุมาเลยทราบพระศนิว่าให้เป็นบาปเคราะห์ เมื่อใดพระศนิเสด็จโคจรเข้าเรือนชนมจันทร์ใครเมื่อใด (ชนมจันทร์ คือ เรือนที่พระจันทร์ในดวงกำเนิดสถิตอยู่ ซึ่งมีคุณภาพเท่าลัคนา หรือ ถ้าพระจันทร์มีกำลังมากกว่าจะถือว่าเรือนที่พระจันทร์สถิตเป็นลัคนาเลยก็ได้) โทษทุกข์จะเกิดขึ้นกินเวลา 7ปีครึ่งมนุษย์จะรังเกียจภัยนี้ และจะให้พระศนิถูกประณามเป็นดาวเคราะห์แห่งทุกข์โทษ แต่เมื่อพระศนิหาเศียรมาต่อให้พระคเณศได้แล้ว
พระศนิขอให้พระอุมาประทานอภัยถอนคำสาปแช่งให้ตน แต่พระอุมาตรัสว่าคำสาปนั้นเป็นวาจาสิทธิ์จึงไม่สามารถถอนได้ แต่จะให้พรแก้แก่พระศนิว่า เมื่อมนุษย์ผู้ใดอดทน และ ใช้สติปัญญาฟันผ่าช่วงที่พระศนิเยือนเรือน 7 ปีครึ่งได้ผู้นั้นจะได้พรอันประเสริฐจากพระศนิ ให้เป็นผู้พัฒนาและเข้มแข็งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเข้าใจสัจธรรมแห่งโลกมากขึ้นแล้วผู้มีปัญญาจะเข้าใจในวิถีแห่งพระศนิเอง เรื่องนี้ก็มีกล่าวในตำราโหราศาสตร์เช่นกันเมื่อ ดาวเสาร์เคลื่อนตัวเข้าสู่เรือนที่ 12 , 01 , 02 นับจากที่พระจันทร์กำเนิดสถิต ซึ่งเรียกว่า เสต-สาติ (ของโหราศาสตร์ภารตะ) ว่าให้โทษร้ายถึง 7 ปีครึ่งนี่เป็นบทหนึ่งที่ว่านิทานโบราณสอดแทรกวิชาโหราศาสตร์ไว้ด้วย
ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูกเป็นพระคเณศ
พระคเณศ นั้นเป็นโอรสของพระศิวะ กับ พระอุมา และ เป็นพี่น้องกับสกันทกุมาร (ขันธกุมาร) ซึ่งประวัตินั้นค่อนข้างแปลกๆ พอๆ กันของเทวบุตรทั้ง 2 องค์นี้ โดยพระคเณศจะมีคุณลักษณะแห่งความเป็นนักปราชญ์ ส่วนสกันทกุมารจะมีคุณลักษณะแห่งความห้าวหาญ ตรงไปตรงมาแบบทหาร
ประวัติการกำเนิดของพระคเณศนั้นก็มีความแตกต่างกันตามปุราณะ ซึ่งกล่าวแตกต่างตามแต่ละคัมภีร์ อาทิเช่น พระคเณศนั้นถือกำเนิดมาจากความปรารถนาของพระอุมา เมื่อครั้นพระศิวะเจ้าเสด็จไปทำสมาธิจิตที่เขาไกรลาสเป็นเวลานาน เนื่องด้วยพระลักษมี (บ้างว่าเป็นเทพนารีองค์อื่น) ได้เสด็จมาเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนพระอุมา และ ได้กล่าวกับพระอุมาว่าเมื่อคราวมหาเทพศิวะไม่อยู่กับพระองค์นั้น พระองค์ก็เปรียบดั่งสตรีที่ไม่มีบุรุษปกปักรักษาป้องกันในเวลาปฎิบัติกิจส่วนพระองค์
ฉะนั้นพระอุมาจึงควรสร้างเทวบุตรขึ้นมาเพื่อปกป้อง และ คอยเฝ้าคุ้มกันเมื่อพระอุมาปฏิบัติกิจ เมื่อพระอุมาเห็นด้วยกับความคิดของพระลักษมี จึงได้ใช้ฤทธิ์แห่งศักติ ลูบพระวรกายแบ่งภาคออกเป็นทารกที่อ้วนท้วมสมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา และ เติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อครั้นเวลาผ่านไป พระศิวะออกจากสมาบัติก็เสด็จกลับมาหาพระอุมา เมื่อถึงหน้าทวารทางเข้าก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งมายืนขวางทาง ไม่ให้พระศิวะเข้าไปข้างในเนื่องจากไม่มีคำสั่งจากพระมารดา จึงทำให้พระศิวะทรงพิโรธมาก ตรัสสั่งให้นันทิ และ เหล่าเหล่าบริวารเข้าต่อกรกับพระคเณศ
แต่ทั้งนันทิและเหล่าบริวารทั้งหลายก็พ่ายแพ้พระคเณศอย่างง่ายดาย พระนารายณ์ พระพรหมา และ เหล่าเทวดาต่างก็เสด็จมาช่วยพระศิวะต่อกรกับพระคเณศ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป จนพระนารายณ์ทูลให้พระศิวะทรงใช้ตรีศูลเพื่อ...หารพระคเณศเสีย พระศิวะจึงได้ฟังพระวิษณุตรัสดังนั้นก็ทรงปฏิบัติตาม โดยพุ่งตรีศูลไปตัดเศียรพระคเณศขาดกระเด็นมอดไหม้ไป เสียงแห่งการ...หารพระคเณศนั้นดังกึกก้องไปทั้งสรวงสรรค์ ทำให้พระอุมาตกใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเสด็จออกมาดู เมื่อมาเห็นเทวบุตรคเณศอยู่ในสภาพไร้เศียร ก็พิโรธด้วยอำนาจแห่งศักติจนสั่นสะเทือนไปสามโลก ว่าทำไมเหล่าเทวาจึงต้องมารุมทำร้ายเด็กน้อย ไร้เดียงสา และ ...หารกุมารคเณศของพระองค์ด้วย ด้วยความโกรธแห่งพระศักติผู้เป็นบารมีอำนาจของจักรวาล
พระอุมาได้แบ่งภาคออกเป็นพันๆ ภาคเพื่อจะ...หารเหล่าเทวดาทั้งหลาย และ ทำลายจักรวาลให้สูญสิ้นไป โดยแบ่งภาคเป็นภาคต่างๆ เช่น สตี , ปรรพตี , กาลี , ทุรคา , โครี , จัณฑี , ชคันมาตา , จัฑิกา , ไภรพี , สยามา ฯลฯ ทำให้สั่นสะเทือนปานจักรวาลจะล่มสลาย พื้นโลก สวรรค์ บาดาล นรก เริ่มแตกร้าว เหล่าเทวดาพากันหวาดกลัวไปตามๆ กันเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งมารดาจักรวาลนั้นมหาศาลนัก เมื่อพระองค์ทรงเป็นโยนีผู้ให้กำเนิดจักรวาลอันความพิโรธโกรธกริ้วของพระอุมาย่อมทำลายจักรวาลลงได้ภายในพริบตา เมื่อพระนารายณ์เห็นเช่นนั้นจึงทรง เข้าไปขอขมาพระอุมา โดยทูลว่าการกระทำในครั้งนี้เหล่ามหาเทพ และ เทวดาทั้งหลายนั้นไม่ทราบมาก่อนจริงๆ ว่าพระคเณศคือเทวบุตรอันถือกำเนิดจากทิพย์ศิวา ศักติของพระอุมา ที่ทำไปเช่นนั้นก็เพื่อช่วยในการรักษาเกียรติแห่งพระศิวะเจ้า
พระอุมาก็ยังหาความคลายพิโรธลงเท่าใดไม่ แต่ก็ตรัสกับมหาเทพทั้ง 3 และเหล่าเทวดาว่าให้คืนชีวิตและเศียรให้แก่เทวบุตรของพระองค์ในทันที พระเป็นเจ้าทั้งสามก็รับปากจะคืนให้ แต่ติดที่ว่าฤทธิ์แห่งตรีศูลพระศิวะทำให้เศียรของพระคเณศนั้นมลายหายไป แล้วนี่พระอุมายังยื่นคำขาดอีกว่าถ้าเทวบุตรไม่กลับคืนชีพ พร้อมมีเศียร พระอุมาก็เหมือนคนหมดทุกสิ้นทุกอย่างแล้วในจักรวาล เพราะความหวังและสิ่งที่รักยิ่งของมารดาทั้งหลายคือบุตร ฉะนั้นก่อนพระอาทิตย์อัสดงคตให้หาเศียรมาต่อให้พระคเณศให้จงได้ มิฉะนั้นพระอุมาจะทำลายจักรวาลทั้งปวงให้สิ้นไป
เหล่าเทวดาต่างจนปัญญาที่จะหาเศียรมาต่อให้พระคเณศ ด้วยจะ..่าสิ่งมีชีวิตเพื่อเอาเศียรมาต่อให้พระคเณศก็ไม่เป็นการสมควรที่เหล่าเทวดาจะกระทำกัน พระนารายณ์จึงตรัสข้อเสนอว่าอันพระเวทเปรียบกล่าวไว้ ว่าสิ่งมีชีวิตใดเมื่อเวลานอนแล้วหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกก็เปรียบดั่งเสียชีวิตแล้ว ฉะนั้นให้เหล่าเทวดา แยกย้ายกันไปหาสัตว์ที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เมื่อเหล่าเทวาได้รับบัญชาแล้วก็รีบแยกย้ายกันออกค้นหาเหล่าเทวดาต่างก็รีบหากันตั้งแต่เช้าจน พระอาทิตย์จะตกดินแล้วก็ไม่พบอย่างที่พระนารายณ์ตรัสไว้ จนเกือบถึงเส้นยาแดงผ่าแปด ก็มาพบช้าเผือกเชือกหนึ่งนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกพอดี จึงตรงเข้าไปตัดหัวของช้างเผือกนั้นเพื่อนำมาต่อให้พระคเณศ
เมื่อพระศิวะทรงต่อเศียรให้พระคเณศ และ ชุบชีวิตให้แล้ว พระคเณศก็กลับมามีชีวิตดังเดิมทำให้พระอุมาหายพิโรธ โดยพระศิวะกล่าวว่าอันเศียรช้างที่หามาได้นี้หาใช่ช้างธรรมดาอันที่จริงคือ ปางหนึ่งของช้างเอราวัณที่ถูกสาปให้ไปเกิดเป็นช้างเผือกในโลกมนุษย์ เมื่อใดถูกตัดเศียรแล้วก็จะพ้นคำสาปและกลับคืนสู่อินทราโลก ฉะนั้นเศียรที่ได้มานี้จึงประเสริฐเปี่ยมไปด้วยกำลัง และ สติปัญญา และเมื่อเป็นการไถ่ความผิด เหล่าเทวดาก็ต่างให้พรพระคเณศต่างๆ นานา โดยพระศิวะให้พรว่าขอให้พระคเณศจงอยู่เหนืออุปสรรคทั้งปวง เป็นเทพเจ้าแห่งความสมดุล และ ความสำเร็จสมปรารถนาทั้งปวง พระนารายณ์ให้พรว่าขอให้เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา และ การรจนาคัมภีร์ความรู้ทั้งปวง
พระพรหมาก็ให้เช่นกันโดยให้ว่าอันผู้ใดจะประกอบการมงคลใดๆ ก็ตามแต่จะต้องท่องมนตร์ โอม อันเป็นเครื่องหมายอมตะแห่งพระคเณศ และ กล่าวบูชาอัญเชิญพระคเณศมาเป็นเทพองค์แรกในการประกอบมงคลทั้งหลายทั้งปวง โดยพระคเณศจะเป็นใหญ่เหนือคณะเทพเจ้าทั้งปวง นี่ก็คือประวัติพระคเณศ และยังมีข้อแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างในหลายคัมภีร์ บ้างก็ว่าพระนารายณ์เป็นผู้ตัด ด้วยวาจาสิทธิ์ เมื่อครั้นพระศิวะมีเทวโองการเชิญพระนารายณ์มาโสกันต์ (โกนผมไฟ) พระคเณศ แต่เนื่องจากพระนารายณ์เพิ่งเหนื่อยกลับมาจากการปราบอสูร จึงทำให้เพลียแล้วทรงบรรทมเหนือไวกูณฑ์พอมีเทวโองการประโคมสังข์มาด้วยความงัวเงีย ก็บ่นพึมพรำออกมาว่า " ลูกหัวหายเราจะหลับให้สบายเสียสักหน่อยก็ไม่ได้ " ด้วยวาจาสิทธิ์เศียรพระคเณศก็หายไปในพริบตา บ้างก็ว่าเศียรขาดเนื่องจากพระศนิ ( พระเสาร์ ) เพราะพระเสาร์เคยถูกภรรยาสาปให้ห้ามมองใบหน้าใครได้เพราะพระศนินั้นช่วงหนึ่งเคยแต่เฝ้าภาวนา ถึงแต่พระนารายณ์ไม่เอาใจใส่ในนาง จึงสาปพระศนิว่าถ้ามองผู้ใดผู้ที่ถูกมองจะเกิดอัปมงคล หรือ หัวขาดหายไป
ครั้นพระศนิมาร่วมในงานโกนผมไฟ พระศนิได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ายลโฉมพระคเณศ ทำให้พระศิวะทรงกริ้ว หาว่าพระศนิทรงดูหมิ่นโอรส พระศนิไม่ทราบว่าจะขัดพระบัญชา ได้อย่างไรจึงจำต้องมองไปที่หน้าพระคเณศ ด้วยฤทธิ์แห่งคำสาปเศียรพระคเณศก็ขาดหายไปในพริบตา ส่วนเรื่องการต่อเศียรพระคเณศนั้นก็คล้ายๆ กัน แต่มีแทรกเกี่ยวกับตอนของพระศนิว่า เมื่อมองเศียรพระคเณศแล้วเศียรขาด ด้วยความพิโรธพระศนิ พระอุมาเลยทราบพระศนิว่าให้เป็นบาปเคราะห์ เมื่อใดพระศนิเสด็จโคจรเข้าเรือนชนมจันทร์ใครเมื่อใด (ชนมจันทร์ คือ เรือนที่พระจันทร์ในดวงกำเนิดสถิตอยู่ ซึ่งมีคุณภาพเท่าลัคนา หรือ ถ้าพระจันทร์มีกำลังมากกว่าจะถือว่าเรือนที่พระจันทร์สถิตเป็นลัคนาเลยก็ได้) โทษทุกข์จะเกิดขึ้นกินเวลา 7ปีครึ่งมนุษย์จะรังเกียจภัยนี้ และจะให้พระศนิถูกประณามเป็นดาวเคราะห์แห่งทุกข์โทษ แต่เมื่อพระศนิหาเศียรมาต่อให้พระคเณศได้แล้ว
พระศนิขอให้พระอุมาประทานอภัยถอนคำสาปแช่งให้ตน แต่พระอุมาตรัสว่าคำสาปนั้นเป็นวาจาสิทธิ์จึงไม่สามารถถอนได้ แต่จะให้พรแก้แก่พระศนิว่า เมื่อมนุษย์ผู้ใดอดทน และ ใช้สติปัญญาฟันผ่าช่วงที่พระศนิเยือนเรือน 7 ปีครึ่งได้ผู้นั้นจะได้พรอันประเสริฐจากพระศนิ ให้เป็นผู้พัฒนาและเข้มแข็งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเข้าใจสัจธรรมแห่งโลกมากขึ้นแล้วผู้มีปัญญาจะเข้าใจในวิถีแห่งพระศนิเอง เรื่องนี้ก็มีกล่าวในตำราโหราศาสตร์เช่นกันเมื่อ ดาวเสาร์เคลื่อนตัวเข้าสู่เรือนที่ 12 , 01 , 02 นับจากที่พระจันทร์กำเนิดสถิต ซึ่งเรียกว่า เสต-สาติ (ของโหราศาสตร์ภารตะ) ว่าให้โทษร้ายถึง 7 ปีครึ่งนี่เป็นบทหนึ่งที่ว่านิทานโบราณสอดแทรกวิชาโหราศาสตร์ไว้ด้วย
ผลที่ได้จากการบูชาพระพิฆเนศ
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรม ตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดา มารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆ เณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
1. การบูชาพระพิฆเณศนั้น นับเนื่องในอานิสงส์สำคัญหลายประการด้วย หากเป็นผู้ที่ศึกษาฮินดูแท้ๆ การบูชาพระพิฆเณศย่อมเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดบรรลุธรรม ตามหลักโมกษะนั่นแล ด้วยว่า พระพิฆเณศแท้ที่จริงย่อมเป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาอันพิสุทธิ์ การเข้าถึงพระพิฆเณศในแง่แห่งความสูงสุดทางจิตวิญญาณจึงหมายถึง การชำระมลทินภายในจิตใจให้สิ้นไป คงเหลือแต่สภาพจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตแท้ดังเดิม เพื่อก้าวไปสู่การรวมเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้า
2. อานิสงส์ประการต่อมาคือ การบูชาพระพิฆเณศเพื่อปัญญาและการหยั่งรู้ พระพิฆเณศตามตำนานเป็นเทพแห่งปัญญาโดยชัดเจน จากเรื่องราวการเดินทางรอบโลกแข่งกันระหว่างพระพิฆเณศกับพระขันธกุมาร ทันทีที่พระอิศวรบัญชาว่าใครเดินทางรอบโลกครบ 7 รอบก่อนจะให้ผลมะม่วงแก่ผู้นั้น เมื่อพระขันธกุมารทรงนกยูงออกไปก่อน ในขณะที่พระพิฆเณศเลือกการทักษิณาวัตรพระอิศวรและพระอุมาซึ่งมีฐานะเป็นบิดา มารดาของตนแล้วกล่าวตามเนื้อหาพระคัมภีร์ว่า ผู้ใดที่ทักษิณาวัตรบิดามารดาของตนเอง ย่อมเท่ากับผู้นั้นได้เวียนรอบโลก เพราะว่าคุณของบิดามารดายิ่งใหญ่กว่าแผ่นดิน นี่คือการชี้คุณลักษณะพิเศษของปัญญา
ไม่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ปัญญาญาณของพระพิฆเณศยังกล่าวไว้ในเรื่องการเขียนมหาภารตะว่า พระฤๅษีวยาสเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวนี้แก่พระพิฆเนศขอให้เป็นผู้เขียน ในการเขียนนั้นพระพิฆเณศกล่าวว่าอย่าให้สะดุด ต้องบอกกล่าวทีเดียวให้จบ พระฤๅษีก็แก้ว่าย่อมได้ แต่ตนจะใช้โศลกที่เข้าใจยาก เป็นปรัชญาลึกซึ้ง ต้องตีความหมายก่อนเขียน และหากพระพิฆเนศไม่เข้าใจตรงไหนก็ให้หยุดถาม ทั้งนี้ พระฤๅษีเองจะได้พักเหนื่อยด้วย แสดงว่าความสามารถในการเขียน การจำ ของพระพิฆเนศนั้นนับว่าเป็นยอด ด้วยเหตนี้ ผู้ที่นับถือพระพิฆเณศและหมั่นพิจารณา ในคุณข้อนี้ย่อมเป็นผู้ได้มาซึ่งปัญญาแห่งเทวะ ประกอบด้วยคุณความดี คึอ ความกตัญญูต่อบิดามารดา และจากเนื้อเรื่องที่กล่าวมา พระพิฆเนศยังถือว่าเป็นเทพแห่งการเขียนอ่าน ซึ่งก็คือปัญญา ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจืงควรให้ความนับถือพระพิฆเณศเป็นพิเศษ
การนับถือพระพิฆเนศ เพื่ออานิสงค์เรื่องปัญญาความรู้นั้น ควรที่ต้องรับถือควบคู่กับ พระแม่สรัสวดี เทวีแห่งปัญญา พรหมจรรย์ และความบริสุทธิ์ ทั้งพระนางยังเป็นเทวีแห่งศิลปวิทยาการอีกด้วย การนับถือคตินี้ จะเห็นได้ชัดจากภาพมี 3 เทพประทับอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นไตรภาคีระหว่าง พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ผู้ใดประสงค์ความมีปัญญา ประกอบด้วยความสำเร็จ ความร่ำรวย ความฉลาด ก็หารูปภาพเหล่านี้มาบูชาเอาเถิด (ในลักษณะตรีเทวะ หรือ ไตรภาคี หรือ ตรีเอกานุภาพ เช่น พระตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ)
3. ถัดจากเรื่องปัญญา การบูชาพระพิฆเนศที่สำคัญที่สุดคือ อำนาจแห่งการขจัดอุปสรรค ดังที่กล่าวมา พระพิฆเนศคืออำนาจแห่งอุปสรรคและเป็นอำนาจแห่งการขจัดอุปสรรคด้วยในตัว ดังนั้น ผู้ที่บูชาพระองค์ย่อมทำกิจการงานราบรื่นหรือหากมีอุปสรรคอันใด พระองค์ท่านย่อมบำราศเสียซึ่งอุปสรรคนั้นๆ
4. เพื่อความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าศีรษะช้างของพระพิฆเนศนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล ช้างหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความยิ่งใหญ่ สิริมงคล ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเณศจึงเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในพระหัตถ์ของพระพิฆเนศนั้นมักถือขนมโมทกะอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสื่อถึงอาหารการกินที่พร้อมเสมอ หมายความว่า พระองค์จะประทานความอิ่มหนำสำราญแก่ผู้บูชาพระองค์ ความอุดมสมบูรณ์จึงพึงบังเกิดแก่บุคคลนั้นไม่รู้สิ้น ชีวิตของผู้ที่มีพระองค์เป็นสรณะจะหอมหวานอยู่เสมอ
5. เป็นผู้ป้องกันภูติผีปีศาจและคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง จากคติเรื่องพระพิฆเณศเป็นยมทูต เป็นเจ้าแห่งภูตผีปีศาจ ซึ่งคตินี้น่าจะรับจากการที่พระศิวะ ซึ่งอยู่ในฐานะบิดา ทรงมีภาคภูเตศวร และอีกประการหนุ่งทรงเป็นมหาโยคีที่อาศัยตามป่าช้าเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน นั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติให้แก่กล้า และในภาคนี้ พระศิวะเองก็เป็นเจ้าแห่งภูติผี มีภูติผีทั้งหลายแวดล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งความตาย คุณสมบัติต่างๆ ของพระศิวะถูกถ่ายทอดสู่พระพิฆเนศผู้เป็นศิวะบุตร ด้วยเหตุนี้ พระพิฆเนศจึงทรงอำนาจยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งภูติผีปีศาจทั้งหมด ทรงเป็นใหญ่เหนือใครในโลกวิญญาณ ดวงวิญญาณทุกดวงย่อมอยู่ในอาณัติแห่งพระองค์ และผู้บูชาพระองค์ย่อมปลอดภัยจากการคุกคามของภูติผีปีศาจ ทั้งคุณไสยมนต์ดำทั้งปวง เพราะพระองค์คือผู้บริสุทธิ์ คือเจ้าแห่งอำนาจเหนือธรรมชาติ ดังนั้น ผู้อยู่ใต้บารมีของพระองค์ย่อมพ้นจากภัยทั้งหลายที่มองไม่เห็นเหล่านี้
6. อำนาจแห่งความเป็นที่รัก เนื่องจากพระพิฆเณศเป็นเทพที่บังเกิดจากพระแม่อุมาเทวี ในเบื้องต้นพระพิฆเณศย่อมเป็นที่รักแห่งนางที่สุด ภายหลังจากการต่อสู้กับพระศิวะด้วยควาเข้าใจผิดจนบานปลายทำให้ศีรษะพระพิฆ เณศหลุดไป ยังความไม่พอใจแก่พระแม่อุมา ต่อเมื่อได้มีการต่อศีรษะใหม่และมีการขอขมาพระแม่อุมา ในเหตุการณ์ดังกล่าว ทวยเทพทั้งหลายต่างมาประชุมพร้อมกัน พร้อมทั้งให้พรแก่พระพิฆเณศ พระพิฆเณศจึงเป็นที่รักของทวยเทพทั้งหลายในสากลจักรวาล พระพิฆเณศจึงเป็นผู้ประทานความเป็นที่รักแก่ผู้บูชาพระองค์อีกประการหนึ่งด้วย
ขั้นตอนการบูชาพระพิฆเนศ
เพื่อการสวดบูชาให้ได้ผลสูงสุด ควรเลือกเวลาที่เงียบสงัด เช่น เช้าตรู่ หรือ ก่อนนอน จะได้ไม่มีเสียง รบกวนจากผู้อื่น
1. นำของสังเวยทั้งหมด (น้ำ นม ผลไม้ ขนมหวาน) วางไว้หน้าเทวรูป
2. ดอกไม้ ถ้าเป็นช่อหรือดอกเดียวให้วางไว้ข้างหน้า ถ้าร้อยเป็นพวง สามารถนำไปคล้องที่พระกร หรือศาสตราวุธของเทวรูปได้
3. จุดกำยาน ธูป ประทีป เทียน
4. การพนมมือ ให้พนมมือแบนราบติดกันนะครับ ไม่ใช่แบบดอกบัวตูม แล้วตั้งจิตให้สงบนิ่ง
5. เมื่อจิตสงบนิ่งแล้ว ก็เริ่มสวดบูชา...
การสวดมนต์นั้น ท่านสามารถใช้บทสวดใดก็ได้เพียงบทเดียว หรือจะสวดหลายๆ บทให้ต่อเนื่องกันก็ยิ่งดี
การสวดมนต์นั้น หากยังจำบทสวดหลายๆบทไม่ได้ ก็ให้เลือกมา 1 บทที่จำได้ส่วนใหญ่นิยมเป็น โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
หากมีเวลาน้อย สวดเพียง 1 จบก็เพียงพอ แต่ถ้ามีเวลามาก แนะนำให้ทำสมาธิด้วยการสวดมนต์ โดยวนไปเรื่อยๆ หรือจะเป็น 108 จบก็ดี
6. เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็ขอพรตามประสงค์
จากนั้นให้กล่าวคำว่า "โอม ศานติ...โอม ศานติ...โอม ศานติ" เพื่อขอความสันติให้บังเกิด เป็นอันเสร็จสิ้น
จะบูชาอย่างไรก็ตาม หลักสำคัญคือ ขณะสวดบูชาให้ตั้งสติให้แน่วแน่ สร้างบรรยากาศให้เกิดสมาธิ สวดมนต์ให้ถูกต้อง บูชาด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่ขอพรด้วยความโลภ ไม่ขอพรที่มีการสาบแช่งผู้อื่น ไม่ขอพรด้วยความท้าทาย หากปฏิบัติขั้นตอนใดผิดพลาดก็ให้ขอขมา บารมีขององค์ท่าน ก็คุ้มครองเราได้
คาถาบูชา บทสวดมนต์ง่ายๆ สำหรับบูชาพระพิฆเนศ
หมายเหตุ : บทสวดของพราหมณ์-ฮินดู จะลงท้ายด้วย...นะมะห์ หรือ นะมะฮา หรือ นะมะหะ ใช้คำไหนก็ได้ไม่ผิดเพี้ยน ภาษาอังกฤษจะเขียนว่า NAMAH
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
ขอความสำเร็จในด้านต่างๆ มีโชค และมีทรัพย์เงินทอง สมความปรารถนา
(บูชาแบบสั้นๆ เมื่อเดินผ่านตามเทวาลัย, วัดต่างๆที่พระพิฆเณศประดิษฐานอยู่)
โอม พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
(บทสวดของไทย สวดทุกวันเพื่อเป็นสิริมงคล)
โองการพินธุ นาถังอุปปันนัง พรหมมะโน จะอินโธ
พิฆฆะเนศโต มหาเทโว อะหังวันทา มิสัพพะทา สิทธิกิจจัง
สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ประสิทธิเม
(พระพิฆเณศวร์ คาถาพระพิฆเณศวร์ใช้สวดเพื่อขอพรหรือปัดเป่าเหตุร้าย )
โอม ศรีคะเนศายะนะมะ
ชะยะคะเณศะ ชะยะคะเณศะ ชายะคะเณศะ
เทวา มาตา ชากี ปะระ วะตี ปิตามะหา เทวา ละฑุวัน
กา โกคะ ละเค สันตะ กะเร เสวา เอก ทันตะ
ทะยาวันดะ จาระ ภุชา ธารี มาเถ สินทูระ เสเห
มูเส กี อะสะวารี อันธะนะ โก อางขะ เทตะ
โก กายา พามณะนะ โก กุตรร เทตะ
โกทินะ นิระทะนะ มายาฯ
(คาถาบูชาพระพิฆเนศ ใครบูชาจะพ้นจากอุปสรรค ประสบความสำเร็จ)
แหล่งที่มาhttp://www.baanmaha.com/community/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D/
เพื่อการสวดบูชาให้ได้ผลสูงสุด ควรเลือกเวลาที่เงียบสงัด เช่น เช้าตรู่ หรือ ก่อนนอน จะได้ไม่มีเสียง รบกวนจากผู้อื่น
1. นำของสังเวยทั้งหมด (น้ำ นม ผลไม้ ขนมหวาน) วางไว้หน้าเทวรูป
2. ดอกไม้ ถ้าเป็นช่อหรือดอกเดียวให้วางไว้ข้างหน้า ถ้าร้อยเป็นพวง สามารถนำไปคล้องที่พระกร หรือศาสตราวุธของเทวรูปได้
3. จุดกำยาน ธูป ประทีป เทียน
4. การพนมมือ ให้พนมมือแบนราบติดกันนะครับ ไม่ใช่แบบดอกบัวตูม แล้วตั้งจิตให้สงบนิ่ง
5. เมื่อจิตสงบนิ่งแล้ว ก็เริ่มสวดบูชา...
การสวดมนต์นั้น ท่านสามารถใช้บทสวดใดก็ได้เพียงบทเดียว หรือจะสวดหลายๆ บทให้ต่อเนื่องกันก็ยิ่งดี
การสวดมนต์นั้น หากยังจำบทสวดหลายๆบทไม่ได้ ก็ให้เลือกมา 1 บทที่จำได้ส่วนใหญ่นิยมเป็น โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
หากมีเวลาน้อย สวดเพียง 1 จบก็เพียงพอ แต่ถ้ามีเวลามาก แนะนำให้ทำสมาธิด้วยการสวดมนต์ โดยวนไปเรื่อยๆ หรือจะเป็น 108 จบก็ดี
6. เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็ขอพรตามประสงค์
จากนั้นให้กล่าวคำว่า "โอม ศานติ...โอม ศานติ...โอม ศานติ" เพื่อขอความสันติให้บังเกิด เป็นอันเสร็จสิ้น
จะบูชาอย่างไรก็ตาม หลักสำคัญคือ ขณะสวดบูชาให้ตั้งสติให้แน่วแน่ สร้างบรรยากาศให้เกิดสมาธิ สวดมนต์ให้ถูกต้อง บูชาด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่ขอพรด้วยความโลภ ไม่ขอพรที่มีการสาบแช่งผู้อื่น ไม่ขอพรด้วยความท้าทาย หากปฏิบัติขั้นตอนใดผิดพลาดก็ให้ขอขมา บารมีขององค์ท่าน ก็คุ้มครองเราได้
คาถาบูชา บทสวดมนต์ง่ายๆ สำหรับบูชาพระพิฆเนศ
หมายเหตุ : บทสวดของพราหมณ์-ฮินดู จะลงท้ายด้วย...นะมะห์ หรือ นะมะฮา หรือ นะมะหะ ใช้คำไหนก็ได้ไม่ผิดเพี้ยน ภาษาอังกฤษจะเขียนว่า NAMAH
โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา
ขอความสำเร็จในด้านต่างๆ มีโชค และมีทรัพย์เงินทอง สมความปรารถนา
(บูชาแบบสั้นๆ เมื่อเดินผ่านตามเทวาลัย, วัดต่างๆที่พระพิฆเณศประดิษฐานอยู่)
โอม พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ทุติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
ตะติยัมปิ พระพิฆเณศวร
สิทธิประสิทธิเม มหาลาโภ
(บทสวดของไทย สวดทุกวันเพื่อเป็นสิริมงคล)
โองการพินธุ นาถังอุปปันนัง พรหมมะโน จะอินโธ
พิฆฆะเนศโต มหาเทโว อะหังวันทา มิสัพพะทา สิทธิกิจจัง
สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ประสิทธิเม
(พระพิฆเณศวร์ คาถาพระพิฆเณศวร์ใช้สวดเพื่อขอพรหรือปัดเป่าเหตุร้าย )
โอม ศรีคะเนศายะนะมะ
ชะยะคะเณศะ ชะยะคะเณศะ ชายะคะเณศะ
เทวา มาตา ชากี ปะระ วะตี ปิตามะหา เทวา ละฑุวัน
กา โกคะ ละเค สันตะ กะเร เสวา เอก ทันตะ
ทะยาวันดะ จาระ ภุชา ธารี มาเถ สินทูระ เสเห
มูเส กี อะสะวารี อันธะนะ โก อางขะ เทตะ
โก กายา พามณะนะ โก กุตรร เทตะ
โกทินะ นิระทะนะ มายาฯ
(คาถาบูชาพระพิฆเนศ ใครบูชาจะพ้นจากอุปสรรค ประสบความสำเร็จ)
แหล่งที่มาhttp://www.baanmaha.com/community/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น